สัปดาห์ก่อนหน้านี้รัฐบาลซิมบับเวนั้น ตัดสินใจที่จะปิดอินเทอร์เน็ตในประเทศแอฟริกา การตัดสินใจครั้งนี้เกิดจากความกลัวของรัฐบาลที่เกี่ยวกับการประท้วงบนท้องถนนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามความพยายามในการระงับเหตุการณ์ความไม่สงบในระดับชาติจะทำให้เกิดสิ่งที่ตรงกันข้าม
การปิดอินเทอร์เน็ตที่เป็นที่ถกเถียงกันนั้นจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเป็นอัมพาต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งซิมบับเวได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ก็คือการเพิ่มราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลเพิ่มมากขึ้น 150%
ประชาชนชาวซิมบับเวได้แสดงความไม่พอใจต่อการตัดสินใจในครั้งนี้ของผู้นำประเทศ ผ่านการประท้วงหลายครั้งผ่าน Social Media ต่าง ๆ เช่น Twitter, Facebook, YouTube และ WhatsApp เป็นส่วนสำคัญในการจัดกิจกรรมเหล่านี้
วิธีการชำระเงินแบบดั้งเดิมและ Cryptocurrency ใช้ไม่ได้
ด้วยเหตุผลนี้จึงดูเหมือนว่าการปิดระบบอินเทอร์เน็ตที่นำโดยรัฐบาลนั้น ได้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายยิ่งนักเพราะ เศรษฐกิจของประเทศนั้นหยุดชะงัก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทางรัฐบาลเป็นผู้กระทำการปิดอินเทอร์เน็ตนี้ส่งผลกระทบต่อร้านค้าและธุรกิจทั่วประเทศและทำให้การโอนเงินผ่านธนาคารเป็นไปไม่ได้และนอกจากนี้การไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้นั้น ทำให้ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin ไม่สามารถทำได้ทั้งหมด
ผลกระทบทางในเศรษฐกิจจากการกระทำของรัฐบาลนั้นก็ดูเหมือนว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาดอย่างรุนแรง เนื่องจากการดำเนินธุรกิจได้ทรุดตัวลงอย่างมากในประเทศแถบแอฟริกา เพราะมันไม่ใช่แค่เพียงธุรกรรมผ่านทางคริปโตหรือธนาคารแบบดั้งเดิมเท่านั้นที่เกิดผลกระทบแต่ธุรกรรมรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ก็โดนด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้วิกฤตการณ์ในสภาพคล่องที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ในประเทศได้นำประชาชนสู่การเทรดหรือแลกเปลี่ยนสกุลเงินทางเลือกอื่น ๆ เช่น Cryptocurrency หรือเงินสดเช่นบัตรเครดิต
ระบบการชำระเงินเหล่านี้นั้น เกิดขึ้นก็เพราะการกระทำของทางรัฐบาล แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ทางรัฐบาลกลัวว่าจะเกิดความวุ่นวายทางเศรษฐกิจนั่นเอง
เดือนตุลาคมปี 2017 มีรายงานกล่าวว่าประชาชนซิมบับเวได้พึ่ง Bitcoin เป็นเครื่องมือในการซื้อของนอกประเทศ นี่อาจเป็นเพียงแค่ตัวเลือกเดียวที่จะช่วยประชากรซิมบับเวก็เป็นไปได้
บทความจาก siamblockchain
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น